.อะวิชชาปัจจะยา สังขารา สังขาระปัจจะยา
วิญญาณัง วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง นามะรูปังปัจจะยา
สะฬายะตะนัง สะฬายะตะนะปัจจะยา
ผัสโส ผัสสะปัจจะยา เวทะนา เวทะนาปัจจะยา

ตัณหา ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง อุปาทานะปัจจะยา
ภะโว ภะวะ ปัจจะยา ชาติ ชาติปัจจะยา
ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา
สัมภะวันติ ฯ เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ

สะมุทะโย โหติ ฯ
เพราะอวิชาเป็นปัจจัย   สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย   วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย   สฬายะตะนะ จึงมี
เพราะสฬายะตะนะเป็นปัจจัย   ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย  เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย  ตัญหาจึงมี
เพราะตัญหาเป็นปัจจัย  อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย   ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย  ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย  ชรามรนัง  โสกะปะริเทวะทุกขะโทมนัสสะ และ อุปายาสา  จึงมี
กองทุกข์ทั้งหมดนี้จึงมีอาการดังนี้

อะวิชชายะเต์ววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ สังขา-

ระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ นามะรู-
ปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ
ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ เวทะนานิโรธา ตัณหานิโรโธ ตัณหานิโรธา
อุปาทานะนิโรโธ อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ
ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา
นิรุชฌันติ ฯ เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหติ ฯ

      อนึ่งเพราะอวิชชาดับ   สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับ   วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ   สฬายะตะนะ จึงดับ
เพราะสฬายะตะนะดับ   ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ  เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ  ตัญหาจึงดบ
เพราะตัญหาดับ  อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ   ภพจึงดับ
เพราะภพดับ  ชาติจึงดับ
กองทุกข์ทั้งหมดนี้มีอาการดับไปด้วยอาการอย่างนี้

แล้วได้ทรงเปล่งอุทานในปฐมญาณนั้ว่า
....ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธัมมา

อาตาปิโน ฌายะโต พ์ราห์มะฌัสสะ
อะถัสสะ กังขา วะปะยันติ สัพพา
ยะโต ปะชานาติ สะเหตุธัมมัง ฯ

เมื่อใดแลธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพวกพราหมณ์ย่อมสิ้นไป เพราะรู้ถึงธรรมและต้นเหตุ
เมื่อถึงมัชฉมยามพระพุทธองค์ทรงพิจารณาปฏิจสมุปบาท ทั้งโดยอนุโลมและปฎิโลมเช่นนั้นอีกแวทรงเปล่งอุทานว่า

.......ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธัมมา
อาตาปิโน ฌายะโต พราหมะณัสสะ
อะถัสสะ กังขา วะปะยันติ สัพพา
ยะโต ขะยัง ปัจจะยานัง อะเวทิ ฯ

เมื่อใดแลธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์ย่อมสิ้นไปเพราะได้รู้เหตุแห่งความสิ้นไปทั้งหลาย
เมื่อถึงปัจฉิมยาม พระพุทธองค์ทรงพิจารณาปฏิจสมุปบาท ทั้งอนุโลมและปฎิโลมเช่นเดิมอีกแล้วทรงปล่งอุทานต่อไปอีกว่า

.......ยะทา หะเว ปาตุภะวันติ ธัมมา
อาตาปิโน ฌายะโต พราหมะณัสสะ
วิธุปะยัง ติฏฐะติ มาระเสนัง
สุโรวะ โอภาสะยะมันตะลิกขันติ ฯ

เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลายปรากฎแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งพิจารณาอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมกำจัดมารและเสนามารได้ ดุจพระอาฑิตย์สาดส่องท้องฟ้าให้สว่างได้ฉันนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เสวยวิมุตติสุขและทรงพิจารณาธรรมตามสถานที่ต่างๆอีก
 6 แห่งๆละ7วัน รวมเป็น7 สัปดาห์ นับได้ 49 วัน
หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสวยวิมุติสุข ณ ควงต้นอัชฌะปาละนิโคธ ทรงพิจารณาอีกว่า ปฏิจสมุปบาท ไม่ง่ายเลยที่ผู้ไม่รู้และมีกิเลสตัญหามาก จะเข้าใจ เป็นภูมิสำหรับผู้ที่เป็นบัณฑิตโดยเฉพาะเมื่อทรงพิจารณาดังนี้จึงทรงดำริที่จะไม่แสดงธรรม
     ท้าวสามบดีพรหม เมื่อได้ทราบความดำริของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เข้าเฝ้ากราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม เพราะเห็นว่าเหล่าสัตว์ผู้มีกิเลสน้อย มีภูมิปัญญาพอเข้าใจตรามธรรมยังมีอยู่ พระผู้มีระภาคเจ้าเห็นด้วยกับคำทูลอาราธนาของท้าวสามบดีพรหม ประกอบกบการมีพระเมตตากรุณาธิคุณในหมู่เวไนยสัตว์มากอยู่แล้ว และทรงพิจารณาเปรียบกับบัวสี่เหล่า
   และผู้ที่ได้รับฟังปฐมเทศนาชื่อว่า ธัมจักรกัปตนสูตรก็คือเหล่าเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ และเมื่อได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พราหมณ์ขื่อโกญฑัญญะก็มีดวงตาเห็นธรรม บรรลุอรหันต์ และขอบวชในศาสนาของพระศาสดา ได้ชื่อว่า อัญญาโกญทัญญะ  โกญฑัญญะ ผู้เห็นธรรม และในวันนี้ก็เป็นวันที่รัตน 3 ประการเกิดขึ้นแล้วในโลก นั่นคือ
 พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ปฐมเทศนา  ธัมจักรกัปตนสูตร เป็นธรรม อันประกาศอริยสัจ 4  ทุกข์ สมุทัย นิโรธ 
มรรค มี องค์ ๘

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ความโศกย่อมเกิดจากความรัก

ภาพุทธประวัติและบรรยาย

มหาสังฆทาน